วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

10 สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ควรไปเยือนก่อนสายเกินไป


10 สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ควรไปเยือนก่อนสายเกินไป

28 ม.ค.
นิตยสารทราเวล แอนด์ ลีเชอร์ เผยรายชื่อ 10 สุดยอดสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เสี่ยงต่อการถูกทำลาย หรือมีแนวโน้มที่จะสูญสลายหายไปในอนาคตอันใกล้ พร้อมทั้งแนะนำให้รีบเดินทางไปเยือนก่อนที่จะสายเกินไป… มาดูกันว่าโลกเรากำลังจะสูญเสียสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งใดไปบ้าง

แนวปะการังใหญ่ เกรท แบร์ริเออร์ รีฟ 

Clouds of reef fish and corals, French frigate shoals, NWHI
เป็นที่น่าเสียดายว่าแนวปะการังใหญ่ หรือ “เกรท แบร์ริเออร์ รีฟ” ในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ที่มีความยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 215,000 ตารางไมล์ (345,000 ตารางกิโลเมตร) หรือมีขนาดใหญ่พอๆ กับประเทศญี่ปุ่น อาจสูญสิ้นความอุดมสมบูรณ์และกลายเป็นสุสานปะการังภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ.2573)
องค์กรอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติออสเตรเลียระบุว่า หากน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นเพียง 3–5 องศาฟาเรนไฮต์ ประกอบกับมีค่าความเป็นกรดมากขึ้น จะทำให้พื้นที่ 97% ของ “เกรท แบร์ริเออร์ รีฟ” เกิดปะการังฟอกขาวและปราศจากสิ่งมีชีวิตในที่สุด
***

อุทยานแห่งชาติกลาเซียร์

8423
อุทยานแห่งชาติกลาเซียร์ในรัฐมอนแทนา สหรัฐอเมริกา เป็นอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติที่กำลังได้รับผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน…
เมื่อปี ค.ศ. 1850 (พ.ศ. 2393) ที่นี่มีธารน้ำแข็งมากถึง 150 แห่ง ปัจจุบันเหลือเพียง 26 แห่งเท่านั้น นอกจากนี้ อากาศที่ร้อนขึ้นยังส่งผลให้พรรณไม้ผลิบานก่อนฤดูกาลอีกด้วย รายงานขององค์กรพิทักษ์สัตว์ป่าแห่งสหรัฐอเมริการะบุว่า ภาวะโลกร้อนส่งผลให้วงจรชีวิตของพืชและสัตว์ไม่สัมพันธ์กัน เพราะนกที่ช่วยทำหน้าที่ผสมเกสรจะมาไม่ทันช่วงที่ดอกไม้ผลิบาน ดังนั้นเมื่อพวกมันมาถึงก็จะไม่มีแมลงและน้ำหวานให้กินเป็นอาหารเหมือนเช่นเคย
***

สาธารณรัฐมัลดีฟส์

8422
มัลดีฟส์ เป็นประเทศเกาะในมหาสมุทรอินเดียที่มีระดับความสูงจากน้ำทะเลโดยเฉลี่ยเพียง 1.5 เมตร  จึงเป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ต่ำสุดในโลก แถมยังมี “จุดสูงสุด” ต่ำที่สุดในโลกอีกต่างหาก (พื้นที่ๆ มีความสูงมากที่สุดในประเทศ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 2.4 เมตรเท่านั้น) ประเทศนี้จึงมีความเสี่ยงที่จะจมหายไปในอนาคตอันใกล้
ด้วยเหตุนี้ ประธานาธิบดี มูฮัมมัด นาชีด   จึงเรียกร้องให้นานาชาติหันมาสนใจปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยทำตัวเป็นแบบอย่างด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาเผาเปลือกมะพร้าว เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิล (เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ) และยังก่อตั้งโรงไฟฟ้าพลังลมและแสงอาทิตย์ โดยหวังให้เป็นประเทศที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2020 (ประธานาธิบดี มูฮัมมัด นาชีด กล่าวว่า ถ้าทั่วโลกไม่ช่วยกันหยุดปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ มัลดีฟส์จะจมหายไปภายในเวลา 7 ปี)   และถ้าแผนดังกล่าวไม่ได้ผล หรือระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอีกราว 3 ฟุต ก็คงต้องอพยพประชาชนทั้งประเทศ (ราว 380,000 คน) ไปอยู่บนดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน (ประธานาธิบดี มูฮัมมัด นาชีด มีแผนนำเงินรายได้จากการท่องเที่ยวไปซื้อที่ดินในประเทศอินเดีย ศรีลังกา และออสเตรเลีย) 
***

ธารน้ำแข็งคิลิมันจาโร 

8421
ธารน้ำแข็งคิลิมันจาโร อยู่บนยอดเขาคิลิมันจาโรในเขตประเทศแทนซาเนีย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นภูเขาไฟยอดเดี่ยวสูงที่สุดในโลก และเป็นยอดเขาสูงที่สุดในทวีปแอฟริกา เห็นภาพแล้วก็คงรู้ว่าธารน้ำแข็งที่ปกคลุมยอดเขาแห่งนี้กำลังละลายหายไป บ้างก็ว่าเป็นเพราะโลกร้อน บ้างก็ว่าเป็นเพราะอุณหภูมิบนยอดเขาคิลิมันจาโรไม่เคยอยู่เหนือจุดเยือกแข็ง (เนื่องจากอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร) แต่ที่แน่ๆ ธารน้ำแข็งบนยอดเขาคิลิมันจาโรละลายหายไปแล้วประมาณ 80%
***

หมู่เกาะอินโดนีเซีย

8420
“อาร์มู ซูซานดี้” นักอุตุนิยมวิทยาในกรุงจาการ์ตา คาดการณ์ว่า อินโดนีเซียซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “หมู่เกาะใหญ่ที่สุดในโลก”  (ประกอบด้วย 17,508 เกาะโดยประมาณ) จะสูญเสียเกาะ 2,000 แห่ง และที่ดินอีกราว 154,000 ตารางไมล์ (398,858 ตารางเมตร) ภายในปี ค.ศ. 2080  (พ.ศ. 2623) แม้แต่กรุงจาการ์ตาซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ก็จะจมน้ำราว 1 ใน 4 ของพื้นที่ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593)
***

คาบสมุทรแอนตาร์กติก

8419
ปัจจุบันนี้ คาบสมุทรแอนตาร์กติก (ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของทวีปแอนตาร์กติกา)  มีปริมาณน้ำแข็งในทะเลน้อยลงกว่าเดิมถึง 40% และคาดว่าในอีก 20-40 ปีข้างหน้าจะไม่มีน้ำแข็งก่อตัวในทะเลแถบนี้อีกต่อไป แม้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้การเดินทางไปยังแถบขั้วโลกใต้สะดวกขึ้น แต่สัตว์น้ำก็ลดจำนวนลงอย่างฮวบฮาบ เพราะน้ำแข็งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ “เคย” เมื่อไม่มีน้ำแข็งจำนวนเคยก็จะลดลง ส่งผลให้จำนวน ปลาวาฬ แมวน้ำ และเพนกวิน ในแถบนี้ลดลงตามไปด้วย (ปัจจุบัน สัตว์เหล่านี้ลดจำนวนลงแล้วถึง 70%)
***

เทือกเขาแอลป์ในเขตประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 

8418
ทุกวันนี้บนเทือกเขาแอล์ปสูงชันในช่วงหน้าร้อน แทบไม่หลงเหลือร่องรอยของหิมะที่เคยปกคลุมยอดเขาในช่วงหนาว ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการก่อตัวและคงอยู่ของธารน้ำแข็ง (ธารน้ำแข็งเกิดจากการที่หิมะตกลงมาแล้วสะสมกันจนหนา 45-60 เมตร แล้วเกิดการเคลื่อนตัวลงมาอย่างช้าๆ ก่อนค่อย ๆ ละลายกลายเป็นลำธาร) และธารน้ำแข็งที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงก็คือ ธารน้ำแข็งโรน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำโรนที่ไหลผ่านสวิตเซอร์แลนด์ไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยความยาว 813 กิโลเมตร
เมื่อก่อนนักท่องเที่ยวเดินออกจากประตูโรงแรมไม่กี่ก้าวก็สามารถเดินลอดถ้ำธารน้ำแข็งโรน แต่ปัจจุบันต้องเดินไกลขึ้นมาก ทราเวล แอนด์ ลีเชอร์ จึงแนะนำให้เดินทางไปเยือนแม่น้ำและทะเลสาบสวยๆ ในสวิตเซอร์แลนด์ เช่น ทะเลสาบเจนีวา ก่อนที่ธารน้ำแข็งโรนจะละลายหายไป
***

ป่าโกงกางซันดาร์บานส์ 

8417
ป่าโกงกางซันดาร์บานส์ เป็นพื้นที่ป่าชายเลนแบบผืนเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีเนื้อที่มากถึง 4,000 ตารางไมล์ (10,360 ตร.กม.) ตั้งอยู่บนพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำคงคา แม่น้ำพรหมบุตร  และแม่น้ำเมฆนา ระหว่างพรมแดนของประเทศบังคลาเทศ (81%) และรัฐเบงกอลตะวันตก ประเทศอินเดีย  (19%) ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540)
ป่าแห่งนี้เป็นถิ่นอาศัยของเสือเบงกอลหายาก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์น้ำ และประชาชนมากกว่า 2 ล้านคน นอกจากจะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนแล้ว ป่าโกงกางซันดาร์บานส์ยังถูกคุกคามจากคนในพื้นที่ๆ ประกอบอาชีพตัดไม้และทำประมง ประกอบกับมีเศษตะกอนจากเทือกเขาหิมาลัยไหลเข้ามาทับถม องค์การยูเนสโกจึงประเมินว่าป่าชายเลนแห่งนี้อาจถูกทำลายลงถึง 75% เมื่อสิ้นศตวรรษที่ 21
***

เดดซี

8416
เดดซี เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่ระหว่างประเทศจอร์แดนและอิสราเอล ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะ “เดด (dead)” สมชื่อ เนื่องจากปัจจุบัน ระดับน้ำได้ลดลงถึง 80 ฟุต (24 เมตร)  และเสียพื้นที่ผิวน้ำไปแล้วถึงหนึ่งในสามในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักเนื่องมาจาก อิสราเอล จอร์แดน และซีเรีย ต่างก็ผันน้ำจืดจากแม่น้ำจอร์แดน (ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเพียงแหล่งเดียวที่จะไหลลงสู่เดดซี) ไปใช้เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ส่วนที่เหลือก็ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ส่งผลให้โรงแรมริมเดดซีที่สร้างขึ้นในช่วงปี 1980 (หลังปี พ.ศ. 2523) กลายเป็นโรงแรมที่อยู่ห่างจากฝั่งเดดซีกว่า 1 กิโลเมตรในปัจจุบัน
***

ชั้นน้ำแข็งที่อาร์กติก

8415
ปัจจุบัน ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมอาร์กติก (ในซีกโลกเหนือ) เริ่มแตกออกและบางลงจนน่าใจหาย นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซ่าคาดการณ์ว่า น้ำแข็งที่ปกคลุมอาร์กติกจะละลายหายไปจนหมดในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า หลายประเทศที่มีพื้นที่บางส่วนอยู่ในบริเวณดังกล่าว  (เช่น แคนาดา, กรีนแลนด์ (ดินแดนของเดนมาร์ก), รัสเซีย, สหรัฐอเมริกา (อะแลสกา), ไอซ์แลนด์, นอร์เวย์, สวีเดน และฟินแลนด์) ตลอดจนหลายประเทศที่อยู่รายล้อมมหาสมุทรอาร์กติก  (ทั้งในทวีปยุโรป เอเชีย อเมริกาเหนือ และกรีนแลนด์ รวมทั้งเกาะต่างๆ) จึงต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์   แต่หลายคนก็มองวิกฤติเป็นโอกาสจึงเตรียมสร้างท่าเรือ (น้ำอุ่น) ที่สามารถนำเรือมาจอดเทียบท่าได้ตลอดทั้งปี (เพราะน้ำไม่กลายเป็นน้ำแข็ง) ขณะที่บริษัทน้ำมันก็เตรียมสำรวจหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ  แม้แต่บริษัทขนส่งและเดินเรือก็เริ่มมีการวางแผนเปิดเส้นทางเดินเรือในแถบนี้เช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น